โครงการท่องเที่ยว พล ร. 9
โครงการท่องเที่ยว พล.ร.๙
หน่วยทหารที่ใกล้ กรุงเทพ ฯ เพียง 2 ชั่วโมง ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่น แบบวิถีไทยในสวนสวยธรรมชาติใกล้แม่น้ำแควแหล่งทำกิจกรรมของหน่วยทหาร นามว่า ‘ค่ายสุรสีห์’ แห่งนี้ กองพลทหารราบที่ 9 กาญจนบุรี จัดตั้งขึ้นในสมัยสงครามเวียดนาม และได้สร้างชื่อเสียงในการรบกับต่างแดนเป็นอย่างมาก จึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นค่ายทหารมาจนถึงทุกวันนี้ เอกลักษณ์อันโดดเด่นภายในค่ายคือ เสาเกียรติภูมิ พล.ร.9 ประติมากรรมที่จารึกวีรกรรมของกองกำลังทหารแห่งนี้ ปัจจุบัน ภายในค่ายสุรสีห์มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย รวมถึงกิจกรรมผจญภัยในรูปแบบของทหาร ที่สามารถรองรับการทำกิจกรรมเชิงสานสัมพันธ์ ในหมู่คณะต่างๆ ได้เป็นอย่างดี (มีห้องประชุมที่สามารถรองรับได้สูงสุด 200 คน)
1. พิพิธภัณฑ์ทหารผ่านศึกเวียดนาม
ข้อมูลพิพิธภัณฑ์
เป็นอนุสรณ์ถึงวีรกรรมของทหารไทยที่ได้ปฏิบัติการรบร่วมชาติพันธมิตรในสงครามเวียดนามกับเพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณความดี และความเสียสละของทหารที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น จัดแสดงในอาคารประเภทมัลติมีเดีย และหุ่นจาลอง และจัดแสดงกลางแจ้ง แสดงอาวุธยุทโธปกรณ์
จากค่ายทหารที่จัดตั้งขึ้นในสมัยสงครามเวียดนาม สู่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน มากมายของจังหวัดกาญจนบุรี ค่ายสุรสีห์แห่งนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนด้วยหลากหลายกิจกรรมเพื่อความรื่นรมย์ รวมทั้งสถานที่ประวัติศาสตร์ที่พาคุณย้อนเวลาไปสัมผัสความหาญกล้าของกองทัพไทยในอดีต
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ
กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 71190
Telephone : 034-511200, 034-623691
Fax : 034-623691
Website : http://www.surasee.com/
วันและเวลาทำการ - ทุกวัน เวลา 8.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม ค่าบริการเข้าชมภายในอาคารนิทรรศการคนละ 20 บาท
ภายนอกอาคารและบริเวณโดยรอบไม่เสียค่าบริการ
การเดินทาง
ค่ายสุรสีห์อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรีประมาณ 26 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3086 (ทางไปอำเภอบ่อพลอย)
2. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กองพลทหารราบที่ ๙
เชิญแวะชมประวัติศาสตร์ต่างๆรวมถึงบุคคลและเหตุการณ์สำคัญๆของกองพลทหารราบที่ ๙ สถานที่จัดแสดงทั้งหมด 9 โซน ประกอบด้วย
1. เทิดไท้องค์ราชัน
2. ห้องฉายภาพยนตร์
3. ห้องประวัติศาสตร์ทุ่งลาดหญ้า
4. กองพลทหารอาสาสมัคร
5. กองพลทหารราบที่ 9
6. การป้องกันประเทศ
7. การรักษาความมั่นคง
8. เกียรติบัตรและความภาคภูมิใจ
9. หอเกียรติยศ
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ ค่ายสุรสีห์ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 71190
Telephone : 034-589233-5 ต่อ 51470
หรือติดต่อประสานงานเข้าชมเป็นหมู่คณะ จ่าแจ๊ค 083-313-0799(วิทยากรประจำพิพิธภัณฑ์)
Website : http://www.surasee.com Email : g6_surasri@hotmail.com
วันและเวลาทำการ
จันทร์ถึงศุกร์ ในเวลาราชการ 8.30 - 16.00 น.
ค่าเข้าชม - ไม่เสียค่าเข้าชม
การเดินทาง
ค่ายสุรสีห์อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรีประมาณ 26 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3086 (ทางไปอำเภอบ่อพลอย)
3. กิจกรรมผจญภัย
ร่วมทดสอบความแข็งแรง สนุกตื่นเต้นกับหอกระโดดสูง 34 ฟุต ค่าบริการ 100 บาท/ท่าน
ปีกแสดงความสามารถพร้อมใบประกาศ 100 บาท
4. สนามยิงปืนรัตนาวุธ
มีกระสุนและอาวุธปืนไว้คอยบริการท่านได้ประลองความแม่นยำหลายชนิด ในกระสุนราคาขั้นต่ำ เพียง 50 บาทค่าเช่าปืน กระบอกละ 100 บาท
5. ศูนย์พักผ่อนและนันทนาการ กองพลทหารราบที่ ๙
นั่งชมธรรมชาติ รับประทานอาหาร ออกกำลังกายท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นเป็นธรรมชาติ ที่สวนสาธารณะ พล.ร.๙
6. สวนสัตว์ ค่ายสุรสีห์ แวะเที่ยวชมสัตว์นานาชนิด พักรับประทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นได้ที่ สวนสัตว์ค่ายสุรสีห์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปี พ.ศ.2484 เวียดนามได้ประกาศที่จะต่อสู้กับฝรั่งเศสอย่างเปิดเผย เพื่อให้เวียดนามหลุดพ้นจากสภาพการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และมีเอกราชของตนเอง ได้มีการสู้รบกันอย่างหนักเป็นเวลาถึง 8 ปี จนกระทั้งกองกำลังเวียดมินห์ ของพรรคนิยมคอมมิวนิสต์ เวียดนามสามารถโจตีป้อมปราการสำคัญของฝรั่งเศส ที่เดียนเบียนฟู แตกลงในวันที่ 4 พฤษภาคม 2497 วิกฤตการณ์สงครามครั้งนั้นมีทาที่จะรุกรานจนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ ฝรั่งเศสยอมรับความปราชัยแลต้องสงบศึก จึงได้มีการลงนามใน “อนุสัญญาเจนีวา พ.ศ.2497” ที่กรุงเจนนีวา ประเทศ สวีตเซอร์แลนต์ จึงมีผลให้เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ โดยเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ เป็นเส้นแบ่งเขตเวียดนามเหนือ ยึดถือการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ โฮจิมินห์ พยายามที่จะรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน จึงได้ส่งกำลังกองโจรเวียดกงเข้าก่อกวนและแทรซึมเข้าไปในเวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง โดยแฝงเข้ามาในลักษณะผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ตั้งแต่ พ.ศ.2498 เป็นต้นมา จากนั้นได้ปฏิบัติการรุกรานด้วยอาวุธ และกำลังทหารอย่างรุนแรง ตลอดจนโฆณาชวนเชื่อชักจูงใจราษฎรเวียดนามใต้ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ประกอบการดำเนินการนโยบายด้านการบริหารประเทศของรัฐบาลเวียดนามใต้ประสบความล้มเหลว จึงไม่สามารถต่อต้านได้เพียงลำพังตนเอง และได้รองขอความช่วยเหลือจากมิตรประเทศฝ่ายโลกเสรี ใน พ.ศ.2508 เวียดนามใต้ตกอยู่ในจุดล่อแหลมที่สุดรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติการในเวียดนามใต้พร้อมด้วยกำลังทหารของพันธมิตรอีก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นีวซีแลนด์ สเปน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย สงครามเวียดนามจึงได้เริ่มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในวันที่ 26 สิงหาคม 2506 เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐเวียดนามประจำกรุงเทพฯ ได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ของรัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม ซึ่งมีประธานาธิบดี เหงียน วัน เทียว เป็นผู้นำขอรับการช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมจากรัฐบาลไทยซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2510 อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือทางทหาร แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนามจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้น เรียกว่า “กรมทหารอาสาสมัคร” ( กรม อสส.) มีขนาดใหญ่กว่ากองพัน แต่เล็กกว่ากรมผสม มีภารกิจในการรบเป็นหลัก และปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนเป็นรอง เป็นกองกำลังทหารไทยหน่วยแรก ที่ปฏิบัติการรบในเวียดนาม ได้สมญานามว่า “จงอางศึก” หลังจากที่กรมทหารอาสาสมัคร เดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนามเป็นเวลา 1 ปี กองทัพบกได้มอบให้คณะกรรมการพิจารณาเตรียมการส่งกำลังไปผลัดเปลี่ยน กรมทหารอาสาสมัคร โดยให้เพิ่มเติมเป็น 1 กองพล เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2511 จึงมีคำสั่งจัดตั้ง “กองพลทหารอาสาสมัคร” บรรจุมอบเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มีที่ตั้งปกติ ณ ค่ายกาญจนบุรี ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และเดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนาม มีสมญานามเป็นที่รู้จักกันในนาม “กองพลเสือดำ” เป็นเวลา 4 ปี จนถึงเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2514 กองกำลังทหารไทย ได้ถอนกำลังออกจากเวียดนามใต้กลับที่ตั้งปกติ ค่ายกาญจนบุรี การปฏิบัติการรบของทหารไทย ที่ไปร่วมรบในครั้งนั้น ได้เป็นที่ประจักษ์ แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอย่างดี และได้รับคำสรรเสริญถึงวีรกรรมการสู้รบของทหารไทย ซึ่งสู้รบอย่างกล้าหาญ ความมีวินัย จิตใจที่เข้มแข็ง แสดงถึงความเป็นชาตินักรบ ยอมเสียสละแม้กระทั่งเลือดเนื้อ ชีวิต เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นอันมาก
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2514 กองทัพบกได้ออกคำสั่งตั้งกองพลใหม่ขึ้น บริเวณ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยแปรสภาพกองพลทหารอาสาสมัคร “กองพลเสือดำ” เป็นกองพลใหม่ ขนานนามว่า “กองพลที่ 9” เหตุผลว่า เป็นครบรอบปี 24 แห่งวันรัชดาภิเษก ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ 9 และเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2525 กองทัพบกได้ออกคำสั่งให้เปลี่ยนนามจากหน่วยเดิม กองพลที่ 9 เป็น กองพลทหารราบที่ 9 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2517 กองทัพบกได้ขนานนาม ค่ายที่ตั้งกองพลที่ 9 ว่า “ค่ายกาญจนบุรี” และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2533 กองทัพบกได้มีประกาศขอพระราชทานเปลี่ยนนามค่ายใหม่ จากเดิม ค่ายกาญจนบุรี เป็น “ค่ายสุรสีห์” อันเนื่องมาจากสถานที่ตั้งกองพลทหารราบที่ 9 เดิมเป็นสมรภูมิสงครามทุ่งลาดหญ้า ในสงครามเก้าทัพ เมื่ออดีต 209 ปี ที่ผ่านมา โดยกองทัพไทย ซึ่ง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ 1 ( เจ้าพระยาสุรสีห์ ) เป็นแม่ทัพ ได้มีชัยชนะแก่ข้าศึก ที่ยกกำลังพลถึง 9 หมื่นคน เดินทัพมุ่งหน้ามายัง ตำบลลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี เพื่อเข้าสู้เมืองหลวงของไทย หวังชัยชนะในการยึดครองแผ่นดินไทย ทั้งที่ฝ่ายไทยมีกำลังพล เพียง 3 หมื่นคน น้อยกว่าฝ่ายข้าศึกถึง 6 หมื่น คน แต่ด้วยพระปรีชาอันชาญฉลาด ของผู้ทรงเป็นแม่ทัพทำให้ฝ่ายข้าศึกต้องแพ้พ่ายถอนกลับไป ซึ่งตรงกับ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2328 และตั้งแต่นั้นมาสงครามระหว่างไทยกับพม่าที่มี่มาช้านานเป็นอันยุติลง สมรภูมิลาดหญ้า จึงเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของชาติไทย
การรบที่เฟือกกาง (Phuoc Cang) ในคืนวันวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2512 เวลา 02.20 น. กองพันที่ 3 กรมที่ 274 เวียดกงได้เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยอาวุธเบาที่ 3 ของไทยอย่างรุนแรง โดยได้ยิงเตรียมด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด และจรวดอาร์พีจี ไปยังค่ายแบร์แคต และฐานยิงสนับสนุนพร้อมกัน หลังจากนั้นได้ใช้กำลังทหารราบเข้ารบประชิด รอบที่ตั้งฐานปฏิบัติการ ฯ ใน 3 ทิศทาง เนื่องจากการรบติดพันในระยะต้นไม่อาจใช้ปืนใหญ่ และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธได้เต็มขีดความสามารถ จนถึงเวลา 06.00 น. เวียดกงเริ่มถอนตัวจากการรบ กองพลทหารอาสาสมัครได้ใช้ปืนใหญ่ของกองพล 5 กองร้อย กับกำลังทางอากาศระดมยิงอย่างหนัก เพื่อสกัดกั้น และทำลายการถอนตัวของข้าศึก และได้ส่งกำลังหมวดทหารม้ายานเกราะออกกวาดล้างข้าศึก จนถึง เวลา 10.45 น. จึงเสร็จสิ้น ผลการรบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บสาหัส 5 คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับศพได้ 57 ศพ ถูกจับเป็นเชลย 10 คน ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นอันมาก

