เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124


“เรือนแพ” ไว้สำหรับค้าขาย โดยอาศัยที่มีสามีเป็นข้าราชการทำให้มีช่องทางในการค้าขายโดยเฉพาะการค้าขายน้ำตาลโดยเริ่มมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อมากขึ้น และโดยที่แม่มะลิเอง มีความงดงามและเรียบร้อยตามแบบฉบับหญิงไทย ทำให้การค้าขายยิ่งเจริญงอกงามในขณะที่สามีซึ่งรับราชการก็มีบรรดาศักดิ์สูงขึ้น ฐานะก็มั่นคงขึ้นจึงได้สร้าง

“เรือนคหบดี” ขึ้นให้สมกับฐานะที่สูงขึ้น จากบรรดาศักดิ์ ที่สูงขึ้นประกอบการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ทำให้มีการติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น มีการไปมาหาสู่กับบรรดาข้าราชการผู้สูงศักดิ์มากขึ้นจึงได้สร้าง “เรือนหมู่” ขึ้นเพื่อไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างสมศักดิ์ศรี จึงเกิดมีเรือนไทยตามแบบที่ถูกต้องตามหลักการสร้างเรือนประเภทต่างๆ ในเมืองมัลลิกา


สำหรับใครที่มาเยือนเมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 แล้วอยากอินกับบรรยากาศย้อนยุคจริงๆ ทางเมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 มีเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงยุคร.ศ.124ให้บริการ แต่ต้องทำตามกฎระเบียนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
ประเภทตั๋ว |
ผู้ใหญ่ |
เด็ก/ผู้สูงอายุ |
ตั๋วเข้าชมเมือง |
250.- |
120.- |
ตั๋วเข้าชมเมือง+รับประทานอาหารเย็น+การแสดง* |
700.- |
350.- |
หมายเหตุ :- เด็กสูง ต่ำกว่า 100 ซม. เข้าฟรี

แต่งกายชุดไทยผู้เข้าชมสามารถเช่าชุดไทยได้ ณ เมืองมัลลิกา
ผู้หญิง |
โจงกระเบน ผ้าแถบสไบ เครื่องประดับ และร่ม |
200.- |
โจงกระเบน เสื้อแขนหมูแฮม แพรสะพาย เครื่องประดับ และร่ม |
300.- |
|
ผู้ชาย |
โจงกระเบน เสื้อกุยเฮง และผ้าคาดเอว |
100.- |
โจงกระเบนและเสื้อราชปะแตน |
300.- |
|
เด็ก |
โจงกระเบน เสื้อคอกระเช้าสำหรับเด็กผู้หญิง เสื้อกุยเฮงสำหรับเด็กผู้ชาย |
50-100.- |
บริการรถลาก หรือรถเจ๊ก
ค่าบริการ 50 บาท / เที่ยว (รับผู้โดยสารจากหน้าประตูเมืองไปส่งบริเวณหลังเรือนเดี่ยว)
ราคาบัตรรับประทานอาหารเย็น พร้อมชมการแสดง
(รวมค่าเข้าชมเมืองแล้ว)
ผู้ใหญ่ 700 บาท (รวมของที่ระลึก)
เด็ก 350 บาท (สูงต่ำกว่า 120 ซม.)
เปิดบริการอาหารเย็นทุกวันที่เรือนหมู่ ตั้งแต่เวลา 18.00 - 20.00 น.
อาหารสำหรับมื้อเย็น
ประกอบไปด้วย หมี่กรอบ แกงบวน น้ำพริกขี้กา ยำใหญ่ แกงมัสมั่น ที่เลือกอาหารดังกล่าวมานั้นเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ลิ้มชิมอาหารที่เป็นภูมิปัญญาของบรรพชนไทยที่หากินได้ยากในปัจจุบัน หรือที่มีอยู่ก็ถูกดัดแปลงไปมากแล้ว
แกงบวน เมื่อพูดถึงต้มเครื่องในสัตว์ ทุกคนต้องนึกถึงกลิ่นคาว แต่ด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยนั้นทำให้ได้กินเครื่องในที่ไร้ซึ่งกลิ่นคาว โดยการนำสมุนไพรต่างๆ มีคั่วมาตำแล้วจึงนำมาปรุงกับเครื่องในหมูทำให้ได้ต้มเครื่องในที่เรียกว่า แกงบวน ซึ่งกรรมวิธีการทำนั้นยุ่งยากมากจึงทำให้แกงบวนเป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเนื่องจากหาคนทำเป็นได้ยากขึ้นทุกที
หมี่กรอบ อาหารที่ถูกดัดแปลงจนปัจจุบันพอพูดถึงหมี่กรอบคนรุ่นใหม่จะนึกถึงหมี่ที่ทอดมาฟูๆ แล้วนำมาคลุกกับเครื่องเคราออกมาเป็นก้อนแข็งๆ กรอบๆ เก็บได้นาน แต่หมี่กรอบดั้งเดิมนั้นเส้นหมีจะไม่ฟูแต่ขาวรสชาดหอมจากส้มซ่า หวานไม่มาก รสชาติกลมกล่อมแต่เก็บได้ไม่นาน นอกจากนี้ยังมี น้ำพริกขี้กา แกงมัสมั่นไก่ ยำใหญ่ อีกด้วย
*ราคาบัตรรวม ข้าวสวย ผลไม้รวม เครื่องดื่ม (น้ำเปล่า) สามารถเติมอาหารได้ไม่จำกัด
การแสดง
มีทั้งหมด 8 ชุด ระยะเวลา 1 ชั่วโมง เริ่มแสดงที่เวลา 19.00 น.
1.การแสดงเชิดหุ่นคน
ศิลปะการแสดงหุ่นคนมีต้นกำเนิดจากหุ่นหลวง หุ่นกระบอก หุ่นละครเล็ก และการแสดงหุ่นของภาคต่างๆ หนังตะลุง โขน ละครและ ระบำ รำ ฟ้อน มาผสมผสานกันระหว่างศิลปะการเชิดหุ่นและหนังใหญ่ต่างๆ ตลอดจนการแสดงศิลปะแบบสากลประกอบกับลีลาท่าทางของผู้แสดงให้ออกมาเป็นเรื่องราว
2.ลาวกระทบไม้
รำกระทบไม้เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวจังหวัดสุรินทร์เดิมเรียกว่า เต้นสาก ประเทศไทยมีอาชีพทางกสิกรรมมาช้านาน การทำนาผลิตข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย และทำรายได้เป็นสินค้าออกให้แก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ชีวิตประจำวันของคนไทย ส่วนใหญ่จึงคลุกคลีอยู่กับการทำนา เริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ ดำ และเก็บเกี่ยว เป็นต้น ด้วยนิสัยรักสนุก หลังจากเลิกงาน จึงนำสากตำข้าวมากระทบกันเป็นเครื่องประกอบจังหวะพร้อมกับมีการละเล่นให้เข้ากับจังหวะแต่เดิมคงเป็นจังหวะตำข้าวในลักษณะยืนตำ 2 คน ต่อมาจึงลากไม้สากมาวางตามยาว มีคนจับปลายสาก หัว ท้าย ข้างละคน พร้อมทั้งใช้ไม้หมอนรองเคาะเป็นจังหวะ
3.กระบี่กระบอง
การเล่นกระบี่กระบองเป็นพื้นฐานเบื้องต้นส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้ของไทย ที่เรียกว่า กระบี่กระบอง เพราะเป็นกีฬาที่บรรพบุรุษไทยนำเอาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธที่ใช้สู้รบกันในสมัยโบราณมาฝึกซ้อมและเล่นในยามสงบโดยนำหวายมาทำเป็นกระบี่ ดาบ ง้าว เป็นต้น โดยเอาหนังมาทำโล่ เบน ดั้ง แล้วจัดมาตีต่อสู้กันเล่นหรือแข่งขันกันเป็นคู่ๆ ดุจสู้กันในสนามรบเป็นการฝึกหัดรุกและรับไปในตัว
4.เพลงรำภิรมย์พัชนี
ฝ่ายนาฏศิลป์ เมืองมัลลิกา ได้มีแรงบันดาลใจมาจาก การแต่งกายและกิริยาท่าทางของหญิงสาวในสมัย ร.ศ. 124 มาประดิษฐ์เป็นท่ารำให้มีความสวยงามและเลือกบทเพลงที่เข้ากับบรรยากาศ ร.ศ.124 ให้มีความลงตัวและเหมาะสมกับท่ารำ ความสง่างามของหญิงสาวในสมัย ร.ศ. 124 ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงให้มีความเพลิดเพลินจึงตั้งชื่อชุดการแสดงนี้ว่า ภิรมย์พัชนี
5.โขน (ตอนยกรบ)
โขน ชุด ทศกัณฐ์รบพระราม (ยกรบ) การแสดงชุดนี้ อยู่ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์เป็นการทำสงครามระหว่างพระราม พระลักษณ์ และพลวานรกับทศกัณฐ์พญายักษ์แห่งกรุงลงกา การรบของทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยชั้นเชิงของลีลาท่ารำ กระบวนการรบและความสามารถที่มีเอกลักษณ์ประณีตงดงาม
6.รำซัดชาตรี
เป็นการแสดงที่นิยมจนมีแบบแผนเป็นของตนเอง ในแบบศิลปะทางใต้ของไทยปรับปรุงมาจากรำซัดไหว้ครูของละครชาตรี ซึ่งเคยเป็นละครรำแบบเก่าชนิดหนึ่งของไทย ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของละครรำประเภทต่างๆ ซึ่งได้รับการปรับปรุงในสมัยต่อมา ประเพณีการแสดงละครชาตรี ถือธรรมเนียมกันว่าผู้แสดงตัวพระ จะต้องรำไหว้ครูเป็นการเบิกโรงเรียกว่า " รำซัด " โดยมีโทน ปี่ กลอง กรับ ประกอบจังหวะ ต่อมากรมศิลปากรได้ดัดแปลงรำซัด และปรับปรุงให้มีผู้รำทั้งฝ่ายชาย(ตัวพระ) และหญิง(ตัวนาง) เพื่อให้น่าดูมีชีวิตชีวา โดยรักษาจังหวะอันเร่งเร้าไว้อย่างเดิม สิ่งสำคัญของการรำนั้น จะมีการรวมจุดที่กำหนดเป็นอย่างดีระหว่างท่าทางที่เคลื่อนไหว ในระหว่างที่รำอยู่ในจังหวะที่เร่งเร้าของผู้รำ กับจังหวะของการตีกลอง ผู้ตีกลองจะต้องตีกลองไปตลอดเวลาไปพร้อมๆ กับผู้ที่ร่ายรำจนครบจังหวะของการแสดง ให้ประสานกลมกลืนกัน จนเป็นที่นิยมชมชอบจากผู้ชมที่ได้ชมการแสดงชุดนี้เสมอมา
7.ฟ้อนแพน
สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นจากการแสดงละครพันทาง เรื่องพระลอ บทประนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ตอนพระลอลงสรงในแม่น้ำกาหลง ซึ่งท่ารำที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นการนำลีลาท่าฟ้อนทางภาคเหนือมาผสมผสานกับท่ารำไทย และดัดแปลงให้เหมาะสมกับท่วงทำนองเพลง แต่เดิมการฟ้อนแพนในเรื่องพระลอนั้น เป็นการรำคนเดียว คือฟ้อนเดี่ยว ต่อมานางลมุล ยมะคุปต์ ได้นำมาใช้ในการฟ้อนหมู่โดยเพิ่มเติมลีลาการฟ้อนให้มากขึ้น มีทั้งผู้แสดงหญิงล้วน และผู้แสดงชาย – หญิง โดยมีบทร้องประกอบ ซึ่งประพันธ์โดยพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ จัดแสดงครั้งแรกเมื่อครั้งที่โรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ (ปัจจุบัน คือ วิทยาลัยนาฏศิลป) นำไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ณ ประเทศ ญี่ปุ่น บทร้อง มี ๒ แบบ คือ แบบเต็ม และแบบตัด แต่ในปัจจุบันแสดงแบบไม่มีบทร้องประกอบ
8.รำกินรีร่อน
การแสดงชุดนี้ได้รวมการแสดงสองชุดมาไว้ในชุดเดียวกัน เพื่อให้น่าสนใจแปลกตายิ่งขึ้น การแสดงชุดนี้ได้รับความนิยมยกย่องอย่างมากในด้านความวิจิตรสวยงามของกระบวนท่ารำ และเครื่องแต่งกาย โดยชุดแรก คือ กินรีร่อนเป็นการรำในฉากหนึ่งที่นางมโนราห์และพี่ๆบินมาเล่นน้ำที่สระอโนดาษ เขาไกรลาศ และการแสดงอีกชุดหนึ่งที่นำมารวมกันไว้คือ ชุดการรำมโนราห์ โดยคุณหญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ มโนราห์บูชายันต์เป็นการรำของนางมโนราห์ก่อนที่จะแกล้งโดดเข้ากองไฟเพื่อบินหนีไป
พิเศษ!!!จองแพคเกจสำรับมื้อเย็น
wow together
รับราคาพิเศษทันที...คลิกเลย