วัดท่าขนุน

วัดท่าขนุน
   วัดท่าขนุน วัดมีพื้นที่ 59 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวา จุดเด่นของวัดคือ พระพุทธเจติยคีรี ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง ต้องเดินขึ้นบันไดกว่า 200 ขั้น จึงจะถึงยอดเขาที่ตั้งของเจดีย์ เป็นจุดชมวิวมุมสูงของอำเภอทองผาภูมิสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่ร่มรื่นเขียวขจีได้ทั่ว วัดท่าขนุนได้ชื่อตามเมืองด่านท่าขนุน สมัยนั้นการสัญจรส่วนมากไปทางเรือที่ล่องตามลำน้ำแควน้อย จุดที่ตั้งของเมืองด่านท่าขนุนเป็นท่าเรือ มีที่หมายสำคัญคือมีต้นขนุนอยู่หลายต้น จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า “ท่าขนุน” จนกลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองตั้งแต่นั้นมาในหนังสือนิราศท่าดินแดง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2329 เมื่อคราวเสด็จไปทำศึกกับพม่าซึ่งยกมารุกรานไทยที่ท่าดินแดง ทรงยกทัพไปพร้อมกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โดยขบวนเรือจากกรุงเทพ ฯ ไปจนถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเดินทัพทางบกต่อไป   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดงในขณะที่ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ตำบลสามสบ โดยเข้าตีค่ายพม่าพร้อมกันทั้งสองทัพ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2329ทำการรบกันอยู่สามวัน ถึงวันที่ ๒๓ เวลาบ่าย ฝ่ายไทยบุกทะลวงเข้าค่ายพม่าได้ และได้รบติดพันกันอยู่จนพลบค่ำพม่าจึงทิ้งค่ายแตกหนีไปกองทัพไทยได้ไล่ติดตามไปถึงค่ายพระมหาอุปราชาที่ตำบลแม่กษัตริย์พระมหาอุปราชารู้ว่ากองทัพหน้าแตกแล้วก็ไม่ให้คิดต่อสู้รีบยกกองทัพหนีไปก่อนกองทัพพม่าจึงแตกยับเยินเสียรี้พลและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย โดยเฉพาะปืนใหญ่ไม่สามารถที่จะลากกลับไปได้แม้แต่กระบอกเดียวจากนิราศท่าดินแดงในครั้งนั้น ได้กล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรีในนามเดิมว่าเมืองปากแพรก ทรงยกทัพเรือขึ้นไปถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเปลี่ยนเป็นทัพบก ยกไปตั้งค่ายที่ด่านท่าขนุน แล้วบุกโจมตี     
กองทัพพม่าที่ท่าดินแดง ดังเนื้อความในนิราศ ดังนี้
ฯลฯ...ถึงปากแพรกซึ่งเป็นที่ประชุมพล
พร้อมพหลพลนิกรน้อยใหญ่
ค่ายคูเขื่อนขัณฑ์ทั้งนั้นไซร้
สารพัดแต่งไว้ทุกประการ
จึงรีบรัดจัดโดยกระบวนทัพ
สรรพด้วยพยุหทวยหาญ
ทุกหมู่หมวดตรวจกันไว้พร้อมการ
ครั้นได้ศุภวารเวลา
ให้ยกพลขึ้นทางไทรโยคสถาน
ทั้งบกเรือล้วนทหารอาสา
จะสังหารอริราชพาลา
อันสถิตอยู่ยังท่าดินแดง...ฯลฯ
ฯลฯ...ออกจากเนินผาศิลาพนัส
เร่งรัดทวยหาญทั้งซ้ายขวา
ไปตามแนวแถวในพนาวา
พอสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน
ก็ถึงด่านท่าขนุนโดยหมาย
ให้ตั้งค่ายตามเชิงศิขร
แล้วรีบเร่งพหลพลนิกร
ทั้งลาวมอญเขมรไทยเข้าโจมตี...ฯลฯ
   จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น ท่าขนุนก็เป็นเมืองหน้าด่านอยู่แล้ว จากค่านิยมของชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นมอญ พม่า ไทย ลาว ก็คือ มีบ้านที่ไหนก็ต้องมีวัดที่นั่น ทำให้มั่นใจได้ว่า จะต้องมีวัดท่าขนุนมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏหลักฐานชัดเจนในเอกสารประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เท่านั้นหลักฐานการมีวัดท่าขนุนมาปรากฏชัด เมื่อครั้งที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา สองพระราชธิดาในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาอ่อน เสด็จมาประพาสป่าทองผาภูมิทั้งสองพระองค์มีพระอุปนิสัยรักการผจญภัย ชอบเสด็จประพาสป่าเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อเสด็จประพาสทองผาภูมิแล้วเกิดชอบพระทัยในสภาพป่า จึงได้เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง และได้ขอเด็กกะเหรี่ยง 2 คน คือ นังมิ่นกงกับนอเด่งเฉ่งจากบ้านปรังกาสีไปเลี้ยงไว้ในวังอีกด้วยในการเสด็จครั้งหลังนี้เอง ทั้งสองพระองค์ได้ทูลขอพระราชทานพระพุทธรูปรัชกาล ขนาดหน้าตักประมาณ 1 ศอก 2 องค์ และธรรมาสน์ทรงบุษบกฝีมือช่างหลวง ถอดประกอบได้ทุกชิ้น จากในหลวงรัชกาลที่ 7 มาถวายแก่หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เมื่อ พ.ศ. 2472หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เป็นพระเถระเชื้อสายมอญ มีสีลาจารวัตรที่งดงาม เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ทราบกิตติศัพท์ จึงเสด็จมานมัสการพร้อมกับถวายสิ่งของพระราชทานดังกล่าวข้างต้นหลวงปู่พุกปกครองดูแลวัดท่าขนุนมาจนถึง พ.ศ. 2489 ก็มรณภาพลง ชาวบ้าน ได้นิมนต์หลวงปู่เต๊อะเน็งชาวกะเหรี่ยงนอก (มาจากพม่า) มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นรูปที่ 2ช่วงนั้นพอดีหลวงพ่ออุตตมะเดินธุดงค์เข้าไทยมา ได้พบกับหลวงปู่เต๊อะเน็ง จึงช่วยกันสร้างมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลองให้กับทางวัดท่าขนุนหลวงปู่เต๊อะเน็งปกครองดูแลวัดท่าขนุนจนถึง พ.ศ. 2494 ก็เดินทางกลับไปพม่โดยไม่ได้กลับมาอีก ทางคณะสงฆ์ส่งพระภิกษุจากในเมืองกาญจนบุรีมาช่วยดูแลวัดให้ แต่อยู่ได้ไม่นานก็หนีกลับไป เพราะทนไข้ป่าไม่ไหว วัดท่าขนุนจึงกลายเป็นวัดร้างอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่ง วันที่ 26 ธันวาคม 2494 หลวงปู่สาย อคฺควํโส เดินธุดงค์มาจากนครสวรรค์ มาปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ที่บริเวณวัดท่าขนุน ชาวบ้านเห็นวัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใส จึงให้การอุปัฏฐากเป็นอย่างดี จนถึง 25 กุมภาพันธ์2496 หลวงปู่สายก็ได้ลาชาวบ้าน เดินธุดงค์เข้าไปในประเทศพม่าครั้นวันที่ 25กรกฎาคม 2496หลวงปู่สายเดินธุดงค์กลับจากพม่ามาถึงวัดท่าขนุน และได้อยู่จำพรรษาที่วัดท่าขนุนจนถึง วันที่ 6 พฤศจิกายน 2496 ชาวบ้านซึ่งนำโดยนายบุญธรรม นกเล็ก ได้นิมนต์ให้หลวงปู่สายอยู่เป็นเจ้าอาวาสที่วัดท่าขนุนเลยหลวงปู่สายแนะนำให้นายบุญธรรม นกเล็ก นำคณะชาวบ้านไปกราบขอท่านกับหลวงปู่น้อย เตชปุญฺโญ (พระครูนิพันธ์ธรรมคุต) เจ้าอาวาสวัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์และเป็นเจ้าอาวาสปกครองดูแลท่าน แล้วหลวงปู่สายก็ลาชาวบ้าน เดินทางกลับไปวัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์หลังออกพรรษา ปี พ.ศ. 2497 นายบุญธรรม นกเล็ก จึงนำศรัทธาชาวบ้านเดินทางไปนครสวรรค์กราบหลวงปู่น้อย ขอหลวงปู่สายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เมื่อหลวงปู่น้อยอนุญาตแล้ว หลวงปู่สายจึงเดินทางกลับมาพร้อมกับคณะศรัทธาชาวบ้าน ถึงวัดท่าขนุนเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 และเริ่มทำการบูรณะวัดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงปู่สายได้รับการแต่งตั้งจากพระวิสุทธิรังษี (ดี พุทธโชติมหาเถระ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้น ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ตามหนังสือแต่งตั้งเลขที่ 1/2498 ลงวันที่ 1มกราคม 2498 และได้ร่วมกับศรัทธาชาวบ้าน พัฒนาวัดท่าขนุนกลับมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์อีกวาระหนึ่ง จนได้รับรางวัลวัดพัฒนาตัวอย่างในปี 2516หลวงปู่สาย อคฺควํโส มรณภาพลงในปี 2535 ทำให้เสนาสนะทั้งหลายได้ทรุดโทรมลง บางส่วนก็ชำรุดจนไม่สามารถที่จะใช้งานได้ถึงปี 2545 สมัยพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน พระราชธรรมโสภณรักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีบัญชาให้พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ มาพัฒนาวัดท่าขนุน ให้มีเสนาสนะที่สมบูรณ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

วัดท่าขนุน กาญจนบุรี 
ลำดับเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

1. หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล (พ.ศ.2472 - พ.ศ. 2489)
หลวงปู่พุก พื้นเพเดิมเป็นชาวมอญอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ประวัติส่วนอื่นไม่ปรากฏ หลวงปู่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนตั้งแต่เมื่อใด ก็ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน
ประวัติหลวงปู่พุกมาปรากฏชัดเจน เมื่อครั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา สองพระราชธิดาในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้ทูลขอพระราชทานพระพุทธรูปรัชกาล 2 องค์ และธรรมาสน์ทรงบุษบกฝีมือช่างหลวง ถอดประกอบได้ทุกชิ้น จากในหลวงรัชกาลที่ 7 มาถวายแก่หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เมื่อ พ.ศ. 2472 เมื่อปรากฏนามและประวัติในช่วงนี้ ชาวบ้านในชั้นหลังจึงถือว่า หลวงปู่พุกเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดท่าขนุน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ
เมื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรมมาเป็นเจ้าอาวาสนั้น ทางวัดท่าขนุนไม่มีรูปถ่ายของหลวงปู่พุกเหลืออยู่เลย จนกระทั่งนายเสนอ หงษาวดี มาแจ้งให้ทราบว่า ทางครอบครัวของตนมีรูปถ่ายของหลวงปู่พุกอยู่ด้วยพระครูวิลาศกาญจนธรรมจึงได้นำรูปไปสอบถามชาวบ้านเก่าแก่ในอำเภอทองผาภูมิ เพื่อให้ช่วยยืนยันว่า เป็นรูปของหลวงปู่พุกจริงหรือไม่ จึงได้ไปพบรูปถ่ายหลวงปู่พุกรูปเดียวกัน ที่บ้านของของครูมณฑา พัฒนมาศและได้รับการยืนยันจากครูมณฑา ว่าเป็นรูปถ่ายของหลวงปู่พุกจริง ๆหลวงปู่พุกปกครองวัดท่าขนุนจนถึง พ.ศ. 2489 ก็มรณภาพ
2. หลวงปู่เต๊อะเน็ง โอภาโส (พ.ศ. 2489 - พ.ศ. 2494)
เจ้าอาวาสรูปที่ ๒ ของวัดท่าขนุนตามที่ปรากฏประวัติ คือ หลวงปู่เต๊อะเน็งนั้น เป็นเจ้าอาวาสที่มีความเป็นมาลึกลับที่สุด เพราะท่านเป็นพระกะเหรี่ยงนอก เดินทางมาจากประเทศพม่าเมื่อหลวงปู่พุกมรณภาพลง หลวงปู่เต๊อะเน็งได้รับนิมนต์จากชาวบ้านท่าขนุน ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน แต่หลวงปู่ท่านอยู่ช่วยพัฒนาวัดเพียง5 พรรษาเท่านั้น เมื่อออกพรรษาในปี พ.ศ.2494 ท่านก็ได้เดินทางกลับประเทศพม่า และไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลยตามประวัติวัดท่าขนุนที่ ร.ต.ต.บัว สุขเอี่ยม รวบรวมไว้นั้น ได้เรียกหลวงปู่เต๊อะเน็งว่า “หลวงปู่ไตแนม” ในช่วงที่พระครูวิลาศกาญจนธรรมทำการเขียนประวัติของวัดท่าขนุนใหม่ ได้สัมภาษณ์นายวิวัฒน์ ศรีวิเชียร อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิได้ยินนายวิวัฒน์เรียกหลวงปู่ไตแนมว่า “หลวงปู่เต๊อะเน็ง” ผิดไปจากคนอื่น ๆ ที่เรียกว่า “หลวงปู่กะเหรี่ยง”เมื่อสอบถามว่าทำไมเรียกเช่นนั้น นายวิวัฒน์ยืนยันว่า “เตี่ยผมเรียกอย่างนี้มาตลอด” พระครูวิลาศกาญจนธรรมจึงได้ไปเรียนถามถึงเรื่องนี้จากพระครูกาญจนพิสุทธิคุณ[๒] เจ้าอาวาสวัดสะพานลาว ซึ่งท่านมีเชื้อสายกะเหรี่ยงท่านพระครูกาญจนพิสุทธิคุณอธิบายว่า สมัยก่อนชาวกะเหรี่ยงจะตั้งชื่อลูกโดยเอาวันเกิดนำหน้าชื่อ อย่างท่านเกิดวันอาทิตย์ ชื่อก็จะนำหน้าด้วยคำว่า “เต๊อะ” ท่านกล่าวว่า หลวงปู่น่าจะเกิดวันอาทิตย์ ชื่อ “เต๊อะเน็ง” จึงเป็นชื่อที่ถูกต้อง โดยเฉพาะภาษากะเหรี่ยงไม่มีคำว่าไตแนม หรือคำอื่นที่ใกล้เคียงกับคำว่าไตแนมเลย คงจะเป็นคนไทยเรียกชื่อเพี้ยนไปเองเมื่อมั่นใจว่าชื่อหลวงปู่เต๊อะเน็งเป็นชื่อที่ถูกต้อง แต่ก็ยังพบปัญหาต่อไปว่า หลวงปู่ท่านมีฉายาว่าอะไร และมีรูปถ่ายบ้างหรือไม่ เพราะทางวัดท่าขนุนไม่มีรูปถ่ายเก่าใด ๆ ที่พอจะเชื่อได้ว่าเป็นรูปของหลวงปู่เลยอาจจะเป็นเพราะพระครูวิลาศกาญจนธรรมหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากจนเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะหลวงปู่เต๊อะเน็งท่านมรณภาพไปแล้ว มีญาณวิถีเล็งเห็นความยากลำบากของพระลูกพระหลานก็ไม่อาจจะทราบได้ พระครูวิลาศกาญจนธรรมจึงได้ “ฝัน” ถึงเรื่องนี้ว่ามี “พระ” มาบอกว่า หลวงปู่เต๊อะเน็งท่านมีฉายาว่า “โอภาโส” และไม่เคยถ่ายรูปเอาไว้ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่มีรูปของหลวงปู่วัดชุยอูมิน เมืองปินดายะ รัฐฉาน ประเทศพม่า ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับหลวงปู่เต๊อะเน็งมากที่สุด ให้เอามาใช้แทนกันได้จาก “ความฝัน” นี้ มีที่ตรงกับข้อสันนิษฐานของท่านพระครูกาญจนพิสุทธิคุณ ว่าหลวงปู่เต๊อะเน็งเกิดวันอาทิตย์ก็คือ ฉายา “โอภาโส” นั้นเป็นฉายาของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ เมื่อเป็นดังนั้นจึงเหลือแต่เพียงว่า จะหารูปถ่ายของหลวงปู่วัดชุยอูมินได้จากที่ไหน ?จะเป็นเพราะว่าพระครูวิลาศกาญจนธรรม เคยไปสร้างวัดในประเทศพม่ามาถึง 6 ปีเต็มๆ จึงมีเส้นสายอยู่เป็นจำนวนมาก หรือว่าหลวงปู่ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์จริงก็ไม่อาจจะทราบได้ เพราะว่าสามารถหารูปหลวงปู่วัดชุยอูมินมาได้โดยง่ายเมื่อเป็นดังนี้ ประวัติของหลวงปู่เต๊อะเน็งส่วนหนึ่ง จึงเป็นประวัติที่ “พระบอก” ฟังดูแล้วไม่เป็นวิทยาศาสตร์พอๆ กับประวัติประเภท “ผีบอก” เช่นกัน แต่เมื่อไม่มีประวัติใดที่ดีไปกว่านี้ จึงต้องบันทึกเป็นหลักฐานไว้ก่อน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในภายหลัง
หลวงปู่เต๊อะเน็งปกครองวัดท่าขนุนจนถึงปี พ.ศ.2494 ก็เดินทางกลับพม่า
กาญจนบุรี ไหว้พระ (K307)
3. พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (พ.ศ. 2497 - พ.ศ. 2535)
เจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดท่าขนุน เป็นบุตรของนายนิ่ม ไกวัลศิลป์และนางจันทร์ ไกวัลศิลป์ เกิดในวังบ้านดอกไม้ ของนายพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม2457 ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน11 ปีขาลในเรื่องนี้พระครูวิลาศกาญจนธรรมได้พยายามเสาะหาข้อมูลอยู่เป็นเวลาถึง 3 ปี สัมภาษณ์ศิษย์เก่าของหลวงปู่สายหลายท่านเช่น แม่ชีชื่น ศรีสองแควนายสมใจ มาโนช ร.ต.ต.บัว สุขเอี่ยม ร.ต.ต.มนัส เพียรพบ[๘] บรรดาศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่สาย ทราบเพียงแต่ว่าท่านเกิดในวัง แต่ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเกิดในวังอะไรจนกระทั่งพระครูวิลาศกาญจนธรรม ได้รับกิจนิมนต์ที่บ้านของนายสัจจะ มูลแก้ว เมื่อปรารภเรื่องนี้ขึ้นมา นายสัจจะ มูลแก้ว (ปัจจุบันอายุ 86 ปี) กราบเรียนว่า “ผมเคยถามเรื่องนี้มาแล้ว หลวงปู่บอกว่าท่านเกิดในวังของเสด็จในกรมฯ ที่สร้างทางรถไฟผ่านดงพญาเย็น..” จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่าหลวงปู่เกิดที่วังบ้านดอกไม้ ของเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินเนื่องจากบิดามารดาเป็นข้ารับใช้ในวังบ้านดอกไม้ หลวงปู่สายจึงได้รับการอบรมกิริยามารยาท ตามแบบอย่างของบุคคลในรั้วในวัง และได้รับการศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 พร้อมกับได้รับความไว้วางพระทัย ให้เข้ารับราชการในกรมรถไฟหลวงสมัยนั้น
นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน
หลวงปู่สายรับราชการด้วยความขยันขันแข็งและซื่อตรง และได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนมาตามลำดับ จนกระทั่งถึงเงินเดือนขั้นสูงสุด 32 บาท แต่แล้วชีวิตก็หักเห เมื่อท่านมาป่วยด้วยโรคฝีประคำร้อยโรคนี้เกินความสามารถของหมอในสมัยนั้นที่จะรักษา จนกระทั่งท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์จังหวัดนครสวรรค์ ว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกินมือหมอสมัยใหม่ได้ ท่านจึงเดินทางไปกราบขอบารมีหลวงปู่เดิมใช้พุทธาคมช่วยรักษาให้
เมื่อหายจากโรคแล้ว ท่านได้มอบกายถวายชีวิตไว้ในพระพุทธศาสนา โดยขอบวชและศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เดิม แต่ในช่วงนั้นหลวงปู่เดิมชราภาพมากแล้ว จึงส่งท่านไปบวชกับพระครูนิรันตสีลคุณ (วัน หมีทอง) ที่วัดเขาทอง ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2488พระอาจารย์น้อย เตชปุญฺโญ วัดหนองโพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ไชยา ไม่ทราบฉายา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ บวชแล้วสังกัดวัดหนองโพธิ์ ศึกษานักธรรมตลอดจนวิชาอาคมและพระกรรมฐานกับหลวงปู่เดิมและหลวงปู่น้อยจนสอบได้นักธรรมเอกแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พุทธศักราช 2491 ท่านจึงกราบขออนุญาตหลวงปู่เดิมและหลวงปู่น้อย ธุดงค์ไปยังเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี แล้วเดินมาทางบ้านหมี่ - อินทร์บุรี ผ่านเข้าจังหวัดชัยนาท ทะลุมาทางด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นย้อนกลับไปจำพรรษาที่วัดเขาวงพระจันทร์ออกพรรษาแล้วท่านกลับไปวัดหนองโพธิ์ กราบพระอุปัชฌาย์อาจารย์เพื่อรายงานผลการปฏิบัติและศึกษาวิชาเพิ่มเติม จากนั้น ธุดงค์มาทางบึงบอระเพ็ด ผ่านตะพานหิน ทับคล้อ เขาทราย ของจังหวัดพิจิตร ออกไปบ้านเจียง อำเภอภักดีชุมพล ผ่านเกษตรสมบูรณ์ ชุมแพ จังหวัดชัยภูมิ ทะลุไปถึงป่าสีฐาน จังหวัดขอนแก่น เข้าป่าหนองบัว จังหวัดอุดรธานีจากนั้นท่านเดินเข้าจังหวัดหนองคาย ขึ้นไปอำเภอท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ แล้ววกลงมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาแบน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยเมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สายเดินผ่านป่าเชียงคาน เข้าอำเภอท่าลี่ ด่านซ้าย ลงมาอำเภอนครไทย วังทอง จังหวัดพิษณุโลก ได้ทราบเกียรติคุณของหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณี[๑๔] อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จึงนั่งรถไฟลงมายังสถานีหัวลำโพง แล้วต่อรถไฟสายแม่กลอง ไปกราบขอเรียนกรรมฐานและวิชาอาคมกับหลวงปู่เนื่อง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492หลวงปู่เนื่องซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของหลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม ได้เมตตาถ่ายทอดสรรพวิชาต่าง ๆ ให้กับหลวงปู่สายอย่างเต็มที่ หลวงปู่สายได้อยู่เรียนวิชากับหลวงปู่เนื่องเป็น เวลา ๑ เดือน ซักซ้อมจนช่ำชองชำนาญแล้ว ก็กราบลาขึ้นรถไฟย้อนกลับไปยังพิษณุโลกหลวงปู่สายได้พักเจริญกรรมฐานและทบทวนสรรพวิชาพุทธาคม อยู่ที่บ้านปากพิง เขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม พ.ศ.2492 จนถึงวันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2493 เป็นเวลาถึง 4 เดือน จึงได้เดินทางกลับมาวัดหนองโพธิ์เมื่อทำวัตรพระอุปัชฌาย์อาจารย์ สอบถามข้อธรรมที่ติดขัดและศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติมจากหลวงปู่เดิม ที่ไปเป็นประธานสร้างโบสถ์วัดอินทารามประมาณหนึ่งเดือน ท่านก็กราบลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ธุดงค์ขึ้นไปทางพยุหะคีรี ผ่านเขาหน่อ สลกบาตรจังหวัดนครสวรรค์ ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอมฤต ตำบลบ้านลานดอกไม้อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชรครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สายได้ธุดงค์ขึ้นไปจนถึงบ้านระแหง จังหวัดตาก แล้ววกมาทางบ้านนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย จากนั้นไปจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองตาโชติ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เพื่อศึกษาวิชาอาคมและช่วยหลวงพ่อประเสริฐ[๑๗] สร้างวัดหนองตาโชติ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พุทธศักราช 2494 จนออกพรรษาในช่วงที่หลวงปู่ท่านยังอยู่ศึกษาวิชาการต่าง ๆ ที่วัดหนองตาโชตินี้เอง หลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ ก็ได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22พฤษภาคม พุทธศักราช 2494 แต่กว่าที่ข่าวจะไปถึงหลวงปู่สาย ก็ต่อเมื่อออกพรรษาไปแล้ว
ยังดีที่ทางวัดหนองโพธิ์ โดยหลวงปู่น้อยและกรรมการวัด ตลอดจนชาวบ้าน ได้ทำบุญถวายหลวงปู่เดิมจนครบ 100 วัน แล้วเก็บศพเอาไว้เพื่อรอพระราชทานเพลิง หลวงปู่สายจึงกลับไปทันกราบขอขมาครูบาอาจารย์และร่วมงานพระราชทานเพลิง โดยพักที่วัดหนองโพธิ์จนถึงเดือนพฤษภาคมพ.ศ. 2494จากนั้นท่านได้กราบลาหลวงปู่น้อย ออกธุดงค์มาทางอำเภอลานสัก ผ่านอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ทะลุมาอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มาจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองอีเปาะ อำเภอด่านช้าง จนกระทั่งรับกฐินแล้ว ท่านจึงได้ลาชาวบ้านหนองอีเปาะเพื่อเดินธุดงค์ต่อไปเส้นทางธุดงค์ของหลวงปู่สายช่วงนี้ ผ่านบ้านพุน้ำร้อน อำเภอด่านช้างมาทางบ้านหนองขอน อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ผ่านบ้านโป่งช้าง เข้าสู่เขตอำเภอศรีสวัสดิ์ที่บ้านท่าลำไย เขาเหล็ก ตีนตก องจุ ปลายนาสวน ด่านแม่แฉลบ ทะลุเข้าเขตอำเภอทองผาภูมิ เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2494หลวงปู่สายได้มาปักกลดเจริญกรรมฐานที่บริเวณวัดท่าขนุน ซึ่งขณะนั้นรกร้าง เนื่องจากหลวงปู่เต๊อะเน็งได้กลับพม่าไปเกือบสองปีแล้ว ชาวบ้านท่าขนุนได้เห็นวัตรปฏิบัติอันมักน้อย สันโดษ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงได้ช่วยกันอุปัฏฐากดูแล หลวงปู่จึงได้อยู่ฉลองศรัทธาญาติโยมชาวท่าขนุนถึงสองเดือน แล้วจึงออกเดินธุดงค์ไปทางวังปะโท่หลวงปู่สายได้บุกป่าฝ่าดงผ่านบ้านวังกะ ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอสังขละบุรี ข้ามแดนเข้าประเทศพม่าช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2496 ไปถึงบ้านหนองบัว (กะลอหยั่ว) เมื่อต้นเดือนเมษายน แล้วไปร่วมงานทำบุญสงกรานต์ที่บ้านสองแคว (ชองนาคัวะ)จากนั้น ท่านได้เดินธุดงค์วนเวียนอยู่ตามบ้าน และวัดต่าง ๆ ในเขตเมืองมะละแหม่ง เมืองจะอีน เมืองไจ๊มะยอและเมืองมุด่ง จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม จึงได้เดินมาทางเมืองตันบวยเซียต ผ่านบ้านแวกะลิ ผาเปี๊ยะ เกริงทอบุกป่ากลับเข้าประเทศไทยทางบ้านบีคี่ เขตอำเภอสังขละบุรี เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2496 กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าขนุนชาวบ้านท่าขนุนดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่หลวงปู่สายมาอยู่จำพรรษาเพื่ออนุเคราะห์ทุกคน จึงพร้อมใจกันกราบอาราธนาหลวงปู่ให้อยู่เป็นเจ้าอาวาสที่วัดท่าขนุน หลวงปู่สายได้แจ้งแก่บรรดาญาติโยมว่า ท่านยังมีพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ต้องกราบขออนุญาตก่อน หากต้องการให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส จริง ๆ ก็ให้ไปกราบขอตัวท่านกับหลวงปู่น้อย เจ้าอาวาสวัดหนองโพธิ์เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สายก็ลาชาวบ้านท่าขนุน เดินทางกลับไปยังวัดหนองโพธิ์ อยู่ปรนนิบัติรับใช้และศึกษาวิชาการต่าง ๆ เพิ่มเติมจากหลวงปู่น้อย เวลาผ่านไปประมาณ 1 ปี จนกระทั่งออกพรรษาปี พ.ศ. 2497 ชาวบ้านท่าขนุน นำโดยนายบุญธรรม นกเล็ก ก็ได้เดินทางไปกราบขอตัวหลวงปู่สาย เพื่อให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนตามที่ได้ตั้งใจไว้
เมื่อหลวงปู่น้อยอนุญาต หลวงปู่สายพร้อมกับชาวบ้านท่าขนุน ก็ได้นั่งรถไฟล่องลงมาถึงกรุงเทพฯ แล้วต่อรถไฟมาลงที่สถานีวังโพ ของจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นลงเรือเดินทางมายังอำเภอทองผาภูมิ ถึงวัดท่าขนุนเมื่อวันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497เมื่อมารับหน้าที่เจ้าอาวาส หลวงปู่สายก็ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดในทันที โดยทำการบูรณะมณฑปพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง ศาลาโถง กุฏิเก่าอีก ๒ หลัง พร้อมกับลงมือสร้างอุโบสถอีกด้วย โดยได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านท่าขนุนอย่างเต็มที่เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้น คือ พระวิสุทธิรังษี (ดี พุทธโชติ) ได้มีหนังสือคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีที่ 1/2498 ลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2498 แต่งตั้งหลวงปู่สายเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอย่างเป็นทางการส่วนอุโบสถวัดท่าขนุน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 72 ตอนที่ 20 ลงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2498 มีขนาดกว้าง 9 เมตร ยาว 19 เมตร ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

 วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

หลวงปู่สายได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดท่าขนุน ดังต่อไปนี้
1. บูรณะมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง
2. สร้างอุโบสถ
3. บูรณะศาลาโถงบริเวณหน้าอุโบสถ
4. บูรณะกุฏิไม้ 2 หลัง
5. บูรณะศาลาไม้หลังเก่าที่หลวงปู่พุกสร้างไว้และขยายพื้นที่ออกไปเป็นขนาด 30x40 เมตร
6. สร้างกุฏิเจ้าอาวาส (หลังเล็ก)
7. บูรณะโรงครัวและหอฉัน
8. สร้างกุฏิเตชะไพบูลย์ มีห้องพักสำหรับพระภิกษุสามเณร 20 ห้อง
9. สร้างกุฏิประจวบดี มีห้องพักสำหรับพระภิกษุสามเณร 20 ห้อง
10. สร้างห้องน้ำ 5 ห้อง พร้อมอ่างอาบน้ำรวม ท้ายกุฏิเตชะไพบูลย์
11. สร้างห้องน้ำ 5 ห้อง ท้ายกุฏิประจวบดี
12. สร้างอาคารเรียนพระปริยัติธรรม (ตึกแดง)
13. สร้างถังน้ำบาดาล (ด้านหลังกุฏิเตชะไพบูลย์)
14. สร้างหอระฆัง
15. สร้างเมรุเผาศพ
16. สร้างศาลาธรรมสังเวช
17. บูรณะศาลาท่าน้ำหลังวัด
18. สร้างสะพานไม้ข้ามห้วย ด้านทิศใต้ของวัด
19. สร้างห้องน้ำใกล้สะพานไม้ข้ามห้วย 5ห้อง
20. สร้างห้องน้ำบริเวณฌาปนสถาน 4 ห้อง
21. สร้างสะพานแขวนข้ามแม่น้ำแควน้อยด้านหลังวัด
22. สร้างพระพุทธเจติยคีรี พร้อมศาลานั่งเล่น บนยอดเขาวัดท่าขนุน
วัดท่าขนุน
ผู้บังคับบัญชาเห็นความเข้มแข็งจริงจังในการพัฒนาวัดท่าขนุนของหลวงปู่ จึงแต่งตั้งให้รับตำแหน่งทางการปกครองต่าง ๆ ตามลำดับ ดังนี้
1. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ตามหนังสือคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีที่ 1/2489 ลงวันที่ 1มกราคม พ.ศ. 2489 ลงนามโดยพระวิสุทธิรังสี (ดี พุทธโชติ)
2. พระกรรมวาจานุสาวนาจารย์ ตามหนังสือคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 2/2489 ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ลงนามโดยพระวิสุทธิรังษี (ดี พุทธโชติ)
3. พระอุปัชฌาย์ ตามหนังสือคำสั่งสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองที่ 63/2503 ลงวันที่9 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ลงนามโดยพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ)
4. ผู้ช่วยเจ้าคณะตำบลไทรโยค ตามหนังสือคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 3/2511 ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2511ลงนามโดยพระมหาไพบูลย์ กตปุญฺโญ
5. ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นตรีมีพระราชทินนามที่ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2511 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการโดย จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี
6. เป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ตามหนังสือคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 134/2513 ลงวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2513ลงนามโดยพระวิสุทธิรังษี (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ)
7. เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ตามหนังสือคำสั่งเจ้าคณะภาค 14 ที่ 3/2514 ลงวันที่15 มกราคม พ.ศ. 2514ลงนามโดยพระธรรมสิริชัย (ชิต วิปุโล) เจ้าคณะภาค 14
หลวงปู่สายปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด พระภิกษุสามเณรที่อยู่ใต้การปกครองของท่าน จะต้องปฏิบัติตามสีลาจารวัตรของพระเณรอย่างแท้จริง ผู้ใดบกพร่อง ท่านสั่งให้สึกหาลาเพศออกไปชนิดไม่ไว้หน้าใคร จนเป็นที่เลื่องลือกันว่าท่าน “ดุอย่างกับเสือ”แม้ว่าหลวงปู่สายจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้าคณะปกครองแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งถึงเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ แต่ท่านก็มิได้ยึดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นทางโลก ยังคงใฝ่ใจปฏิบัติในทางธรรมอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีโอกาสก็ออกเดินธุดงค์ฝึกฝนกำลังใจตามความชอบเฉพาะตน จนภาระหน้าที่มีมากขึ้น จึงต้องหยุดการธุดงค์ไปโดยปริยายแต่กระนั้นก็ตาม เมื่อความเบื่อในทางโลกเกิดขึ้นจนถึงที่สุด หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิได้ไม่นาน หลวงปู่สายก็ทิ้งภาระทุกอย่างออกเดินธุดงค์เข้าป่าไปตั้งแต่ พ.ศ. 2514นานถึง 7 ปีเต็ม กว่าที่ญาติโยมจะได้ข่าวและตามไปกราบอ้อนวอน หลวงปู่จึงยอมกลับมายังวัดท่าขนุนอีกครั้งหนึ่งเมื่อกลับมาแล้วหลวงปู่สายก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ ทั้งในตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิของตนเอง และช่วยทำหน้าที่เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรีแทน หลวงพ่อเพิ่ม ชินวํโส (พระครูสังขบุรารักษ์) วัดวังปะโท่ ที่สุขภาพไม่ดี และหลวงพ่อเพิ่มท่านใช้คำว่า “ไม่เก่งงาน” จึงต้องขอให้หลวงปู่สายช่วยดูแลการปกครองคณะสงฆ์อำเภอสังขละบุรีให้ด้วยจากการทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง จนขาดการพักผ่อนที่พอเพียง ทำให้สุขภาพของหลวงปู่ทรุดลง โรคภัยต่าง ๆ จึงรุมเร้าสังขารร่างกายของท่าน จนต้องรักษาพยาบาลเพื่อประทังเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดสังขารร่างกายก็ไม่อาจจะฝืนทนอยู่ได้ หลวงปู่จึงได้ถึงแก่มรณภาพลง เมื่อวันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2535 ณ โรงพยาบาลเดชา กรุงเทพมหานคร
คณะศิษย์ได้ร่วมกันทำบุญถวายแก่หลวงปู่สาย จนกระทั่งครบปีจึงเปิดโลง เพื่อจะนำสังขารของท่านมาเผาตามประเพณี แต่ปรากฏว่าสังขารของท่านมิได้เน่าเปื่อยแต่ประการใด เพียงแต่แห้งไปเฉย ๆ จึงพร้อมใจกันเก็บสังขารของท่านเอาไว้เป็นมิ่งขวัญแก่ศิษยานุศิษย์สืบมาพระครูวิลาศกาญจนธรรมได้ทำการเปลี่ยนผ้าครองถวายแก่หลวงปู่สาย ตั้งแต่ปีแรกมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังได้เปลี่ยนโลงแก้วธรรมดา เป็นโลงแก้วประดับมุกถวายแก่หลวงปู่ จึงได้พบลายมือของหลวงปู่ที่เขียนติดข้างฝากุฏิไว้ ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2535 ว่า “ลำพองอย่าลืมโลงกระจก”แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลวงปู่ท่านทราบวาระสุดท้ายของท่านล่วงหน้ามานานแล้ว ถึงได้สั่งให้เตรียมโลงแก้วไว้บรรจุศพของท่านด้วยอุบาสิกาชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุนเล่าว่า ช่วงเข้าพรรษาปี 2535 เมื่อพระภิกษุสามเณรทั้งอำเภอมากราบทำวัตร หลวงปู่สายได้นำเอาเหรียญของท่านมาแจกให้ทุกรูป พร้อมกับบอกว่า “แจกเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้าย” แต่ทุกรูปก็ไม่ได้เอะใจว่า หลวงปู่ท่านได้บอกเป็นนัยว่า ท่านหมดอายุขัยแล้วทุกวันนี้สังขารร่างกายของหลวงปู่สาย ยังอยู่เป็นมิ่งขวัญกำลังใจแก่ลูกศิษย์ทั้งหลาย ณ วัดท่าขนุน คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดให้มีการทำบุญถวายแก่หลวงปู่ทุกวันที่ 14 ของเดือน และทำบุญใหญ่ประจำปีถวาย ทุกวันที่ 14 กันยายน ติดต่อกันมาทุกปีมิได้ขาด
- เราไม่กลัวความตาย เพราะเราสร้างกุศล
- เราไม่กลัวความจน เพราะเรามีสันโดษ
- เราไม่กลัวความโกรธ เพราะเรามีเมตตากรุณา
- เราไม่กลัวความริษยา เพราะเรามีมุทิตาจิต
- เราไม่กลัวความผิด เพราะเรามีหิริโอตตัปปะ
- เราไม่กลัวราคะ เพราะเราไม่ดำริ
- เราไม่กลัวมิจฉาทิฏฐิ เพราะเรารู้แจ้ง
- เราไม่กลัวความแห้งแล้ง เพราะเราอยู่กับพระนิพพาน
- หลวงปู่สายสอนลูกศิษย์ สิงหาคม 2534
พระครูวินัยธรวัดคู่สอง บันทึก
4. พระอธิการสมเด็จ วราสโย (พ.ศ. 2534-2541)
เจ้าอาวาสรูปที่ 4 ของวัดท่าขนุน เป็นบุตรของ ร.ต.ต.ประเสริฐ บุญยงค์ และนางสวน บุญยงค์ อุปสมบทเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2530 ณ พัทธสีมาวัดท่าขนุน โดยมีพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูผาสุกิจโกวิท (อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ วัดหินแหลม) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์นิรันดร์ วัดหินแหลม เป็นพระอนุสาวนาจารย์เมื่อหลวงปู่สายมรณภาพลงในวันที่ 14 กันยายน 2535 พระสมเด็จวราสโย เป็นพระภิกษุที่มีอายุกาลพรรษามากที่สุดในวัด คือพรรษาที่ 6 ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ จึงเห็นชอบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนในช่วงนั้นเมื่อทำการบรรจุสังขารของหลวงปู่สายไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชา แทนการพระราชทานเพลิงแล้ว ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิก็แต่งตั้งพระอธิการสมเด็จ วราสโย ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รูปที่ 4 พระอธิการสมเด็จได้พัฒนาวัดท่าขนุน ดังต่อไปนี้
1. ทำการซ่อมแซมและทาสีอุโบสถเสียใหม่
2. ร่วมกับ พระครูสุชาติกาญจนโกศล (มณฑล ชยวฑฺโฒ) สร้างรูปหล่อหลวงปู่พุก อดีตเจ้าอาวาสรูปแรก และรูปหล่อหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 3ไว้ให้คณะศิษย์ได้กราบไหว้บูชา
3. ขอประทานอนุญาตจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สร้างพระเจดีย์ 84 พรรษา สมเด็จพระสังฆราช เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสที่พระองค์ท่านเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา โดยมีหลวงพ่ออุตตะมะเมตตามาเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์พระอธิการสมเด็จ วราสโย ปกครองวัดท่าขนุนอยู่ 6 ปี ก็ลาสิกขา
5. พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต (พ.ศ. 2541-2551)
เจ้าอาวาสรูปที่ 5 ของวัดท่าขนุน เป็นบุตรของ ด.ต.บุญนาม มณีรัตน์ และนาง ประไพ มณีรัตน์ อุปสมบทเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 ณ พัทธสีมาวัดท่าขนุนโดยมี พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสมจิตร จนฺทปุณฺโณ เจ้าอาวาสวัดท่ามะเดื่อ (ปัจจุบันคือพระครูสุจิณบุญกาญจน์ เจ้าคณะตำบลห้วยเขย่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการประสิทธิ์ กุมาโร วัดไร่ป้า (ปัจจุบันคือพระครูสิทธิกาญจนาภรณ์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์เมื่อพระอธิการสมเด็จ วราสโย ลาสิกขา ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิได้แต่งตั้งให้พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนแทน และได้ทำการพัฒนาวัดท่าขนุนมาตามลำดับ โดยก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. สร้างหอฉัน (หลังเก่า) ด้านหลังศาลาการเปรียญหลังเก่า
2. สร้างห้องน้ำ - ห้องส้วมใหม่ จำนวน ๑๐ ห้อง
3. สร้างหอฉันหลังใหม่ ชั้นบนใช้เป็นที่พักสำหรับญาติโยม
4. สร้างสระน้ำและพระอุปคุตกลางสระน้ำ
5. สร้างแม่ธรณี พร้อมด้วยบ่อน้ำพุรอบแม่ธรณี
6. สร้างศาลาธรรมสังเวช
7. สร้างมณฑปสมเด็จองค์ปฐมข้างอุโบสถ
8. สร้างห้องเก็บพัสดุหลังใหม่บริเวณถังประปาเก่า
9. สร้างสมเด็จองค์ปฐม 8 ศอกพร้อมมณฑป บนยอดเขาวัดท่าขนุน
เมื่อพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดราษฎร์ประชุมชนาราม (สมณศักดิ์สุดท้ายคือพระเทพเมธากร อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี) ได้ส่งพระครูวิลาศกาญจนธรรม สมัยที่ยังเป็นพระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ มาช่วยพัฒนาวัดท่าขนุน ได้ร่วมกันก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุ ดังนี้
1. บูรณะกุฏิพระครูกาญจนเสลาภรณ์ (เสงี่ยม ฐิตธมฺโม)
2. บูรณะศาลาการเปรียญและหอฉันหลังเก่า
3. บูรณะอาคารเรียนพระปริยัติธรรม (ตึกแดง)
4. บูรณะกุฏิพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลังเล็กเดิม)
5. บูรณะกุฏิพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลังใหญ่ที่สร้างใหม่)
6. บูรณะอุโบสถใหม่ทั้งหลัง
7. บูรณะพื้นรอบอุโบสถ (ปูอิฐตัวหนอน)
8. บูรณะศาลาท่าน้ำ (ปรับเป็นกุฏิเจ้าที่)
9. บูรณะกุฏิและห้องน้ำในป่าธุดงค์ข้างฌาปนสถาน
10. บูรณะโรงครัวข้างฌาปนสถาน
11. บูรณะสะพานแขวนหลวงปู่สาย
12. บูรณะสะพานไม้หลวงปู่สาย (ข้ามห้วยลึกด้านทางเดินบิณฑบาต)
13. บูรณะห้องน้ำเก่า 10ห้อง (หลังกุฏิเตชะไพบูลย์และกุฏิประจวบดี)
14. บูรณะพระพุทธเจติยคีรี (ทาสีใหม่และติดตั้งไฟส่องสว่าง)
15. บูรณะพระเจดีย์ 84 พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
16. บูรณะฌาปนสถาน
17. สร้างกุฏิเจ้าอาวาส (กุฏิพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต)
18. สร้างซุ้มประตูใหญ่
19. สร้างป้ายวัดท่าขนุนบริเวณลานหน้าอุโบสถ
20. สร้างกุฏิที่พักสำหรับญาติโยม (กุฏิโรงรถ)
21. สร้างกุฏิที่พักในแดนสงบ 11 หลัง (ปัจจุบันเป็นที่พักสำหรับแม่ชี)
22. สร้างอาคารที่ทำการมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ศูนย์แหลมทอง
23. สร้างห้องน้ำห้องส้วมใหม่ 12 ห้อง (ด้านหลังตึกแดง)
พร้อมทั้งร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ศูนย์แหลมทอง เพื่อช่วยบรรเทาสาธารณภัย โดยมีทั้งรถ - เรือกู้ภัย พร้อมเครื่องมือที่จำเป็นทุกชนิด มีสมาชิกอาสาสมัครของมูลนิธิ จำนวน 70คน ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งจริงจัง ได้รับคำสรรเสริญชมเชยเป็นอย่างมากจากสาธารณชนทั่วไป (ปัจจุบันได้ยุบกิจการแล้ว)และได้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลีวัดท่าขนุน แต่ทำการสอนไปได้รุ่นเดียวก็ต้องปิดกิจการลงเพราะหานักศึกษาใหม่ไม่ได้ จึงส่งพระนักศึกษาเก่าไปเข้าสำนักเรียนวัดปากน้ำภาษีเจริญแทนจากการทำหน้าที่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอย่างเข้มแข็ง ทางเจ้าคณะปกครองสงฆ์เห็นความสามารถ จึงได้รับแต่งตั้งจากพระวิสุทธิรังษี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้น (พระเทพเมธากร อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี) ให้เป็นฐานานุกรมของท่านที่พระสมุห์ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต 1 เมื่อพรรษาที่ 7 เท่านั้นพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีมาจนถึงก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. 2551 จึงได้ลาสิกขา
กาญจนบุรี+โฮมสเตย์ (KH301)
6. พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ปัจจุบัน)
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปปัจจุบัน อุปสมบทเมื่อ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2529ณ พัทธสีมาวัดจันทาราม (ท่าซุง) โดยมีพระครูอุทัยธรรมโกศล (วิสุทฺธาจาโร) เจ้าคณะตำบลน้ำซึมวัดสังกัสรัตนคีรีเป็นพระอุปัชฌาย์ (มรณภาพแล้ว) พระอนันต์ พทฺธญาโณ วัดท่าซุง (ปัจจุบันคือพระภาวนากิจวิมล) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระบัญชา สุขปญฺโญ วัดท่าซุง (พระสมุห์บัญชา สุขปญฺโญ ฐานานุกรมในพระสุธรรมยานเถร ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อสอบได้นักธรรมเอกแล้ว ได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ให้ออกธุดงค์เพื่อฝึกฝนกำลังใจ จึงออกธุดงค์มาทางจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความเลื่อมใสในปฏิปทาปฏิบัติของครูบาอาจารย์ทางด้านนี้ จึงได้กราบขอศึกษาวิชาการต่าง ๆ เพิ่มเติม จาก
๑. พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วัดท่าขนุน
๒. พระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตะมะ) วัดวังก์วิเวการาม
๓. พระมงคลสิทธิคุณ (หลวงพ่อลำไย) วัดทุ่งลาดหญ้า
ครั้นรู้จักมักคุ้นกับหลวงปู่สายแล้ว เมื่อธุดงค์มาทางทองผาภูมิทุกครั้งก็จะเข้ากราบเพื่อขอวิชาความรู้อยู่เสมอ จนได้รู้จักคุ้นเคยกับพระอธิการสมเด็จ วราสโย อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 4 และพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 เป็นอย่างดีจนกระทั่งสิ้นหลวงพ่อวัดท่าซุง เมื่อจัดงานทำบุญถวายครบ 100 วัน และอัญเชิญสังขารของหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปบรรจุที่วิหารแก้ว 100 เมตรแล้ว พระครูวิลาศกาญจนธรรมก็ได้ย้ายมาสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ที่ หมู่ที่ 5 ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีครั้น พ.ศ. 2545หลวงพ่อพระวิสุทธิรังษี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ที่เลื่อนขึ้นเป็นพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้ส่งพระครูวิลาศกาญจนธรรม สมัยที่ยังเป็น พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ มาช่วยพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต บูรณปฏิสังขรณ์วัดท่าขนุน โดยแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนต่อมา เมื่อหลวงพ่อพระราชธรรมโสภณได้ขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้แต่งตั้งให้พระใบฎีกาเล็กเป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ที่พระครูธรรมธร และแต่งตั้งให้พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต 2 และเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิตามลำดับด้วยเหตุที่ตรากตรำงานหนักจนอาการมาลาเรียเรื้อรังกำเริบ พระครูวิลาศกาญจนธรรม จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลชะแล เขต 2 และกลับไปรักษาตัวอยู่ที่สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษีเมื่อพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต ลาสิกขา ทางวัดท่าขนุนนำโดยแม่ชีชื่น ได้ขอร้องให้พระครูวิลาศกาญจนธรรมมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านจึงลาออกจากเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ตั้งแต่วันที่ 1มิถุนายน 2551มาจนถึงปัจจุบันนี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรมได้บูรณปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ในวัดท่าขนุน ดังต่อไปนี้
บูรณะกุฏิพระครูกาญจนเสลาภรณ์ (เสงี่ยม ฐิตธมฺโม) ครั้งที่ ๒
บูรณะอาคารเรียนปริยัติธรรม (ตึกแดง) ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓
บูรณะกุฏิพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลังใหญ่ที่สร้างใหม่) ครั้งที่ ๒
บูรณะห้องน้ำเก่า ๑๐ ห้อง (หลังกุฏิเตชะไพบูลย์-กุฏิประจวบดี)
บูรณะพระพุทธเจติยคีรี (ทาสีใหม่) ครั้งที่ ๒
บูรณะพระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ครั้งที่ ๒
บูรณะกุฏิเจ้าอาวาส (กุฏิพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต)
บูรณะซุ้มประตูใหญ่
บูรณะกุฏิที่พักในแดนสงบ ๑๑ หลัง ครั้งที่ ๒
บูรณะกุฏิที่พักสำหรับญาติโยม (กุฏิโรงรถ) ครั้งที่ ๒
แปลงศาลาเชิงเขาพุทธเจติยคีรีเป็นศาลาทรงไทย
แปลงอาคารที่ทำการ 
มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์เป็นอาคารทรงไทย และได้ทำการก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
1. สร้างลานธรรมบริเวณอาคารโถงหน้าอุโบสถ
2. สร้างศาลานั่งเล่นทรงไทย จำนวน 7 หลัง
3. สร้างศาลานั่งเล่นทรงกาแล 5 หลัง
4. สร้างศาลานั่งเล่นทรงป้อมยาม 9 หลัง
5. ซื้อหม้อแปลงขนาด 250KVE และปักเสาขยายเขตการจ่ายไฟฟ้า
6. สร้างโรงควบคุมไฟฟ้าทรงไทย
7. สร้างอาคารทรงไทยเพื่อตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ หลังที่ 1
8. สร้างอาคารทรงไทยเพื่อตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ หลังที่ 2
9. สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ หน้าตัก 4 ศอก ปิดทองคำแท้ 36 องค์
10. ขยายถนนคอนกรีตเสริมเหล็กด้านฌาปนสถาน ให้กว้างขึ้นอีก 2 เมตร ยาว 455 เมตร
11. สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก จากบริเวณหน้ากุฏิศาลเจ้าที่ ไปจนถึงบริเวณสะพานไม้ข้ามห้วยลึก ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 120 เมตร
12. สร้างอาสน์สงฆ์ด้วยไม้ในอาคารเรียนปริยัติธรรม กว้าง 2 เมตร ยาว 28 เมตร
13. สร้างป้ายสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี แห่งที่ 23 จำนวน 3 ป้าย
14. เทพื้นคอนกรีตทั่วบริเวณกุฏิแม่ชี 11 หลังในแดนสงบ
15. สร้างพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
16. สร้างพระพุทธลีลาประทานพร 84 พรรษาธรรมิกราช
17. สร้างมณฑปพระพุทธบาทสี่รอยใหม่เลียนแบบของเก่าทั้งหลัง
18. สร้างกุฏิพระเคลื่อนที่ 7 หลัง
19. สร้างพระพุทธรูปฉลอง 2600 ปีพุทธชยันตี หน้าตัก 21 ศอก
20. สร้างห้องสมุดประชาชน ขนาด 30 x 30 เมตร
21. เทคอนกรีตเพื่อสร้างตลาดชุมชนจำนวน 8,000 ตารางเมตร
22. สร้างตู้ขายของสำหรับตลาดชุมชน จำนวน 21 ตู้
23. สร้างห้องน้ำใหม่บริเวณห้องสมุดประชาชน จำนวน 10 ห้อง
24. สร้างมณฑปพระพุทธลีลาประทานพร 84 พรรษาธรรมิกราช
25. สร้างศาลาพิพิธภัณฑ์ 100 ปีหลวงปู่สาย
26. สร้างห้องน้ำข้างศาลาพิพิธภัณฑ์ 100 ปีหลวงปู่สาย 24 ห้อง

พระครูวิลาศกาญจนธรรมได้รับรางวัลจากการปฏิบัติงาน ดังนี้

- พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ที่พระครูวิลาศกาญจนธรรม
- พ.ศ. ๒๕๕๕ รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา จากพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
- พ.ศ. ๒๕๕๖ รางวัล คนดีศรีสังคมศาสตร์ จาก คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
- พ.ศ. ๒๕๕๗ รางวัล World Peace Award จาก World Peace Foundation
สิ่งสำคัญภายในวัดท่าขนุน
1. พระพุทธรูปรัชกาล ๒ องค์
ขนาดหน้าตัก ๑ ศอก ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภานำมาถวายแก่หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒
2. ธรรมาสน์ทรงบุษบก
ฝีมือช่างหลวง สร้างจากไม้แกะสลัก ถอดประกอบได้ทุกชิ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา นำมาถวายแก่หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒
3.มณฑปไม้ทรงมอญ
สร้างขึ้นโดยหลวงพ่ออุตตะมะ และหลวงปู่เต๊อะเน็ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นปีแรกที่หลวงพ่ออุตตะมะเข้ามาเมืองไทย เพื่อไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง เมื่อสร้างเสร็จและจัดงานฉลองแล้ว หลวงปู่เต๊อะเน็งก็เดินทางกลับไปประเทศพม่า และไม่ได้กลับมาเมืองไทยจนกระทั่งมรณภาพมณฑปได้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา จนมาหมดสภาพ ถูกรื้อทิ้งในสมัยของพระอธิการสมเด็จ วราสโย ครั้นพระครูวิลาศกาญจนธรรมมาเป็นเจ้าอาวาส ได้ใช้เวลาในการเสาะหาช่างฝีมือและไม้เก่าอยู่ ๒ ปี จึงได้บูรณะกลับคืนมาเหมือนเดิมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗ รอบ (๘๔ พรรษา)
4. สังขารหลวงปู่สาย อคฺควํโส (พระครูสุวรรณเสลาภรณ์)
อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๓ มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๕ เมื่อเก็บไว้ครบ ๑ ปี จะทำการพระราชทานเพลิงศพ จึงพบว่าสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย ทางคณะสงฆ์วัดท่าขนุน นำโดยพระอธิการสมเด็จ วราสโย จึงนำบรรจุไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้คณะศิษย์ได้กราบไหว้บูชาต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ พระครูวิลาศกาญจนธรรม ได้รับคำสั่งจากหลวงพ่อพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ให้มาพัฒนาวัดท่าขนุน จึงได้เปลี่ยนจากโลงแก้วธรรมดา มาเป็นโลงแก้วประดับมุกเมื่อบรรดาศิษยานุศิษย์มีเรื่องใดที่ต้องการให้สำเร็จ มักจะมาบนบานกับสังขารหลวงปู่ เมื่อได้รับผลแล้วจะแก้บนด้วยพวงมาลัย ๙ พวง จึงมีผู้นำพวงมาลัยมาแก้บนกันทุกวัน มีการเปลี่ยนผ้าครองถวายแก่หลวงปู่ทุกปี

5. พระพุทธบาทสี่รอยจำลอง
กว้าง ๕๘ ซ.ม. ยาว ๑๕๕ ซ.ม. หล่อขึ้นมาจากโลหะผสม (สัมฤทธิ์) ฝีมือประณีตงดงามมาก ไม่มีผู้ใดทราบว่าสร้างขึ้นในสมัยใด คาดว่าน่าจะมีอายุการสร้างหลายร้อยปี มีรอยผุที่ชายขอบด้านล่าง และธรรมจักรตรงกลางพระบาทซึ่งถอดได้หลุดหายไปจนกระทั่งวันที่ ๒๖ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ พระครูวิลาศกาญจนธรรมและคณะ ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชา ได้พบพระพุทธบาทสี่รอยจำลองลักษณะและวัสดุแบบเดียวกับของวัดท่าขนุนทุกอย่าง ตั้งให้สักการบูชาที่มณฑปพระพุทธบาทในพระราชวังเขมรินทร์ เป็นของเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระนคร (นครวัด) เดิมมีอยู่สององค์ แต่สูญหายไปหนึ่งองค์ ไม่สามารถหาพบได้จนทุกวันนี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรมจึงมั่นใจว่า รอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนเป็นรอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในสมัยนครวัดนั่นเอง

6. อุโบสถวัดท่าขนุน
สร้างโดยพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ ตามหลักฐานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๗๒ ตอนที่ ๒๐ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ต่อมาพระอุโบสถได้ทรุดโทรมลง ชายคาด้านใต้พังทรุดลงมา เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๕ พระครูวิลาศกาญจนธรรมได้รับคำสั่งจากหลวงพ่อพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ให้มาพัฒนาวัดท่าขนุน จึงได้ซ่อมแซมจนคืนดีมาดังเดิมพระประธานในอุโบสถสร้างโดยครอบครัวเงินสมบูรณ์ แต่เดิมเป็นโลหะหล่อ (สัมฤทธิ์) พระครูวิลาศกาญจนธรรมได้ทำการปิดทองถวายใหม่ทั้งองค์ เปิดให้บุคคลเข้าสักการบูชาทุกวัน ยกเว้นช่วงบ่ายของวันพระใหญ่ ที่พระภิกษุลงฟังพระปาฏิโมกข์
7. สะพานแขวนหลวงปู่สาย
เป็นสะพานไม้ประกอบลวดสลิง หลวงปู่สาย อคฺควํโส สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ข้ามแม่น้ำแควน้อย เชื่อมระหว่างฝั่งวัดท่าขนุนกับฝั่งตลาดทองผาภูมิ ทำให้สามารถร่นเวลาในการเดินทางเข้าสู่ตลาดทองผาภูมิไปได้เป็นอย่างมาก ปัจจุบันยังใช้งานอยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะเป็นเส้นทางบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุนสะพานแขวนวัดท่าขนุน นับเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันมากในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๖ เจ้าหน้าที่โครงการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณตอนล่าง ได้ทำการสำรวจพื้นที่ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ปรากฏว่าสะพานแขวนวัดท่าขนุนจะถูกน้ำท่วมถึง ในการทำประชาพิจารณ์ ทางวัดท่าขนุนและชาวบ้านท่าขนุน ยินดีให้สร้างสะพานใหม่ โดยยกให้สูงพ้นจากน้ำท่วม ซึ่งขณะนี้ยังรอการดำเนินการอยู่
8. พระพุทธรูปจตุรทิศพิทักษ์เมืองไทย
สร้างโดยหลวงปู่ดู่ พรฺหมฺปญฺโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นพระพุทธรูปคุ้มกันภัยแก่เมืองไทยในทิศทั้งสี่ คณะศิษย์หลวงปู่ดู่ได้อัญเชิญองค์ประจำทิศตะวันตก มาถวายไว้ที่วัดท่าขนุน เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๒
9. พระพุทธเจติยคีรี
สร้างโดยหลวงปู่สาย อคฺควํโส เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่บนยอดเขาวัดท่าขนุน อันเป็นจุดชมทิวทัศน์ของอำเภอทองผาภูมิ เป็นพระเจดีย์ศิลปะพม่า มีพระเจดีย์รายองค์เล็กล้อมรอบอยู่อีก ๔ องค์ และยกเป็นซุ้มบรรจุพระพุทธรูปโดยรอบ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
10. รูปหล่อหลวงปู่พุก - หลวงปู่สาย
ขนาดเท่าองค์จริง พระครูสุชาติกาญจนโกศล (หลวงพ่อมณฑล ชยวฑฺโฒ) วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส (ทุ่งสมอ) ได้นำคณะศิษย์สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ ทางวัดจะนำออกมาให้ญาติโยมได้ปิดทองกันในงานทำบุญประจำปีทุกวันมาฆบูชา และสรงน้ำกันในวันสงกรานต์ของทุกปี
11. พระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
คณะศิษย์หลวงปู่สาย อคฺควํโส นำโดยพระอธิการสมเด็จ วราสโย สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา หลวงพ่ออุตตะมะ (พระราชอุดมมงคล) เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
12. พระพุทธรูปไพรีพินาศ
ขนาดหน้าตัก ๓๐ นิ้ว หล่อด้วยโลหะผสมปิดทอง คณะศิษย์หลวงปู่สาย อคฺควํโส นำโดยพระอธิการสมเด็จ วราสโย สร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา ตั้งอยู่ในพระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
13. พระพุทธรูปหยกขาวพิทักษ์ชายแดนตะวันตก
ขนาดหน้าตักประมาณ ๒๔ นิ้ว น้ำหนักประมาณ ๑ ตัน แกะสลักจากหยกขาว ลักษณะเหมือนพระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูร้อน คณะผู้มีจิตศรัทธาสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำทิศทั้ง ๔ ของประเทศไทย องค์ที่ตั้ง ณ วัดท่าขนุนเป็นองค์ประจำทิศตะวันตก
14. พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ๘ ศอก
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อยู่บนยอดเขาวัดท่าขนุน พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เป็นประธานสร้าง โดยมีพระประยุทธ์ ฐานรโต เป็นเจ้าภาพ ทำการก่อสร้างค้างอยู่ พระครูวิลาศกาญจนธรรม มาดำเนินการสร้างต่อจนแล้วเสร็จเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
15. พระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว
พระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นเครื่องสักการบูชาที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เชื่อกันว่าช่วยป้องกันภยันตรายได้ทุกอย่าง เป็นของบูชาส่วนตัวของพระครูวิลาศกาญจนธรรม จะนำออกมาให้ญาติโยมได้สักการบูชาเฉพาะวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬบูชา มีผู้ถวายทองคำ เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วเป็นจำนวนมากทุกครั้ง
16. พระพุทธรูปงาช้างแกะสลัก
ฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ ขนาดหน้าตักกว้าง ๓ นิ้ว (ฐาน ๓.๔ นิ้ว) ความสูง ๕.๕ นิ้ว เดิมเป็นสมบัติส่วนตัวของพระครูพิมลสรญาณ วัดสุทัศน์เทพวราราม[๑] ได้มอบให้กับพระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ช่วยมอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร
17. พระพุทธรูปลีลาประทานพร ๘๔ พรรษาธรรมิกราช
พระพุทธรูปลีลาประทานพร สูงจากฐานถึงยอดพระเกตุมาลา ๒๘๔ เซนติเมตร สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗ รอบ (๘๔ พรรษา)แกะสลักจากหินเขียวแม่น้ำโขง โดยร้านองอาจแกะสลักหิน ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีครอบครัวคุณวิทย์ – คุณกฤษณา – คุณกนกวลี วิริยประไพกิจ เป็นเจ้าภาพ รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นหนึ่งล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน
18. พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๒๑ ศอก
สร้างขึ้นโดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม ด้วยแม่แบบของพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ในวาระฉลอง ๒๖๐๐ ปีพุทธชยันตี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษาใต้ฐานพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่มีความกว้างถึง ๙๐๐ ตารางเมตร ด้านข้างห้องสมุดเป็นซุ้มจำหน่ายสินค้าของตลาดชุมชนวัดท่าขนุน นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาแวะมาสักการบูชาและถ่ายรูปกันทุกวัน

ที่อยู่-การติดต่อ
เลขที่-: 235 ม.1 บ้านท่าขนุน ถ.กาญจนบุรี-สังขละบุรี ตำบล: ท่าขนุน อำเภอ: ทองผาภูมิ จังหวัด: กาญจนบุรี รหัสไปรษณีย์: 71180
โทร.: 089-815-2472
การเดินทาง ทางหลวงสาย 323 ทองผาภูมิ-สังขละบุรี
1.การเดินทางโดยรถตู้ (กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี-ด่านเจดีย์ฯ)รถออกทุก 30 นาที
- รถเที่ยวแรก ออกเดินทางเวลา 07.00 น.
- รถเที่ยวสุดท้าย ออกเดินทางเวลา 17.00 น.
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงตลาดทองผาภูมิ ค่าโดยสารท่านละ115 บาท (ราคา ณ วันที่ 8 ก.ย. 2559)
2.การเดินทางจาก บขส. กาญจนบุรีไปยัง อ.ทองผาภูมิ
ถ้าต้องการเดินทางแบบหวานเย็น ก็แนะนำให้ขึ้นรถเมล์แดง ค่าโดยสารท่านละ 80 บาท ถึงตลาดทองผาภูมิเลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30ชั่วโมง – 3.30ชั่วโมง
3. ท่ารถตลาดทองผาภูมิมีมอเตอร์ไซค์จ้างส่ง
ที่มาเว็บไซต์: http://www.watthakhanun.com/


บริการรถตู้
Staff support

 

 

Visitors: 110,523