ประวัติหลวงพ่อ
Tags: วัดเย็นสนิทธรรมาราม, หลวงพ่อสนองชาติ, กาญจนบุรี, ไหว้พระ, ขอพร, ปฏิบัติธรรม, ทำบุญ, รดน้ำมนต์, วัด
พระครูสุภัทรกาญจนกิจ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ หลวงพ่อสนองชาติ ฐิตจิตโต พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เจ้าอาวาสวัดเย็นสนิทธรรมาราม ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระที่เคร่งครัดระเบียบวินัย ใส่ใจด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐาน เป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านและสาธุชนโดยทั่วไป มีจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา


หลวงพ่อสนองชาติ มีนามเดิมว่า สนองชาติ เศียรประภัสสร เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2483 ในช่วงวัยเด็ก ท่านนั้นสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทำให้คุณยายของท่านเป็นห่วงจึงไปปรึกษากับคนแถวบ้าน แล้วเขาแนะนำว่าให้ยกหลวงพ่อเป็นบุตรบุญธรรมให้กับพระตามความเชื่อของคนโบราณ คุณยายของท่านจึงตัดสินใจยกท่านให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระครูเนกขัมมวิสุทธิคุณ หรือหลวงพ่อฮวด เจ้าอาวาสวัดไม้รวก
ในช่วงวัยรุ่น ท่านได้เข้าเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนนิตยานุกูล อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา และได้ฝากตัวเป็นศิษย์วัดอยู่ที่วัดแค ในขณะนั้นมีพระปลัดบุญรอด เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งพระปลัดบุญรอด เป็นพระธุดงค์ชาวเขมร ที่มีความชำนาญทั้งด้านปริยัติ ปฏิบัติ และอักขระเลขยันต์ หลังจากที่จบชั้นมัธยมต้นนั้นหลวงพ่อสนองชาติก็ได้ย้ายไปเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่กรุงเทพ
พอท่านเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่านได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และใน พ.ศ. 2500 ท่านมีอายุได้ 17 ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร โดยมีหลวงพ่อฮวด เจ้าอาวาสวัดไม้รวก เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ระหว่างเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านได้ฝึกวิชาอาคม และเรียนรู้อยู่เสมอ หากมีสำนักไหนที่เก่ง ท่านจะเข้าไปกราบไหว้และฝากตัวเป็นศิษย์ จนมีคนแนะนำท่านว่า ท่านเรียนเยอะเกินไป ควรครอบครูเพราะจะได้ไม่ผิดครู จนอาจจะทำให้ท่านเสียสติได้ ท่านจึงไปครอบครูกับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม หลวงพ่อเงินก็ได้ช่วยแนะนำในสิ่งที่หลวงพ่อสนองชาติไม่เข้าใจ หรือติดขัด จนทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น


หลวงพ่อสนองชาตินั้นเก่งกาจในเรื่องอักขระขอมโบราณ วิชาคงกะพันชาตรี วิชาทางเมตตามหานิยม มหาลาภ คุ้มครองป้องกันและแคล้วคลาด วิชาทำตะกรุดและลงผ้ายันต์ วิชาการสร้างหนุมาน วิชาแก้ไสยศาสตร์มนต์ดำ และวิชาแพทย์แผนโบราณ ทำให้ชาวบ้านแวะมาหาท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อขอให้ท่านปลุกเสกเครื่องรางให้ ทำให้ท่านผิดใจกันกับเจ้าอาวาสองค์ใหม่ที่อยู่วัดไม้รวกในตอนนั้น ทำให้ท่านลาสิกขาไป
หลังจากที่ท่านลาสิกขา ท่านก็ได้ออกมาทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ท่านเปลี่ยนงานอยู่หลายครั้ง จนอายุ 39 ปี ท่านรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานจึงละทางโลกและพึ่งทางธรรม โดยเข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดทองบน ต.บางโพงพาง อ.ยานนาวา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2522 จากนั้นท่านได้กราบลาท่านเจ้าอาวาสวัดทองบนตั้งใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาสถานที่อันสงบและร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิธรรม เจริญศีลภาวนา และสามารถพัฒนาเป็นวัดได้ในอนาคต จนวันหนึ่งได้มีคณะศิษย์มานิมนต์ให้ท่านไปที่วัดร้างที่บ้านจันอุย ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อหลวงพ่อเข้ามาสำรวจและพิจารณาว่าที่นี่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ท่านจึงเริ่มเข้ามาสร้างกุฏิหลังเล็กๆเพื่อปฏิบัติธรรมและต่อมาได้พัฒนามาเป็นวัดเย็นสนิทธรรมารามดังที่เห็นในปัจจุบัน
โดยในปัจจุบันหลวงพ่อสนองชาติได้มุ่งเน้นในเรื่องการสอนการปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐาน โดยยึดหลักคำสอนจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน และอาจารย์สอนครูปริยัติธรรมของกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย โดยคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปพบหลวงพ่อนั้น จะเข้าไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องงาน เช่น เครียดกับเรื่องงาน ทำงานแล้วไม่สำเร็จ หรือเบื่อกับงานที่ทำ หลวงพ่อก็จะให้คำปรึกษา ชี้แนะ และสอนให้เห็นถึงหลักการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นจริง
พอท่านเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่านได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และใน พ.ศ. 2500 ท่านมีอายุได้ 17 ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร โดยมีหลวงพ่อฮวด เจ้าอาวาสวัดไม้รวก เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ระหว่างเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านได้ฝึกวิชาอาคม และเรียนรู้อยู่เสมอ หากมีสำนักไหนที่เก่ง ท่านจะเข้าไปกราบไหว้และฝากตัวเป็นศิษย์ จนมีคนแนะนำท่านว่า ท่านเรียนเยอะเกินไป ควรครอบครูเพราะจะได้ไม่ผิดครู จนอาจจะทำให้ท่านเสียสติได้ ท่านจึงไปครอบครูกับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม หลวงพ่อเงินก็ได้ช่วยแนะนำในสิ่งที่หลวงพ่อสนองชาติไม่เข้าใจ หรือติดขัด จนทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น


หลวงพ่อสนองชาตินั้นเก่งกาจในเรื่องอักขระขอมโบราณ วิชาคงกะพันชาตรี วิชาทางเมตตามหานิยม มหาลาภ คุ้มครองป้องกันและแคล้วคลาด วิชาทำตะกรุดและลงผ้ายันต์ วิชาการสร้างหนุมาน วิชาแก้ไสยศาสตร์มนต์ดำ และวิชาแพทย์แผนโบราณ ทำให้ชาวบ้านแวะมาหาท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อขอให้ท่านปลุกเสกเครื่องรางให้ ทำให้ท่านผิดใจกันกับเจ้าอาวาสองค์ใหม่ที่อยู่วัดไม้รวกในตอนนั้น ทำให้ท่านลาสิกขาไป
หลังจากที่ท่านลาสิกขา ท่านก็ได้ออกมาทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ท่านเปลี่ยนงานอยู่หลายครั้ง จนอายุ 39 ปี ท่านรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานจึงละทางโลกและพึ่งทางธรรม โดยเข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดทองบน ต.บางโพงพาง อ.ยานนาวา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2522 จากนั้นท่านได้กราบลาท่านเจ้าอาวาสวัดทองบนตั้งใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาสถานที่อันสงบและร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิธรรม เจริญศีลภาวนา และสามารถพัฒนาเป็นวัดได้ในอนาคต จนวันหนึ่งได้มีคณะศิษย์มานิมนต์ให้ท่านไปที่วัดร้างที่บ้านจันอุย ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อหลวงพ่อเข้ามาสำรวจและพิจารณาว่าที่นี่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ท่านจึงเริ่มเข้ามาสร้างกุฏิหลังเล็กๆเพื่อปฏิบัติธรรมและต่อมาได้พัฒนามาเป็นวัดเย็นสนิทธรรมารามดังที่เห็นในปัจจุบัน
โดยในปัจจุบันหลวงพ่อสนองชาติได้มุ่งเน้นในเรื่องการสอนการปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐาน โดยยึดหลักคำสอนจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน และอาจารย์สอนครูปริยัติธรรมของกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย โดยคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปพบหลวงพ่อนั้น จะเข้าไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องงาน เช่น เครียดกับเรื่องงาน ทำงานแล้วไม่สำเร็จ หรือเบื่อกับงานที่ทำ หลวงพ่อก็จะให้คำปรึกษา ชี้แนะ และสอนให้เห็นถึงหลักการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นจริง
พ.ศ. 2539 หลวงพ่อสนองชาติได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระครูสุภัทรกาญจนกิจ”
พ.ศ. 2548 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลลาดหญ้า

พ.ศ. 2548 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลลาดหญ้า

ตั้งแต่ที่หลวงพ่อสนองชาติได้มาจำพรรษาที่วัดเย็นสนิทธรรมารามมาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้สร้างศาสนสถานที่จำเป็นและมีประโยชน์ไว้มากมาย ได้แก่ พระอุโบสถมหาอุตม์ที่ทำพิธีฝังลูกนิมิตไปเมื่อปี พ.ศ. 2536 ศาลาการเปรียญ เมรุ ศูนย์เด็กอ่อนก่อนวัยเรียน อาคารปฏิบัติธรรม อาคารวิปัสสนากรรมฐานและอื่นๆอีกมากมาย ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ใครไปหา ท่านก็จะต้อนรับพร้อมทั้งให้คำปรึกษา สอนธรรมะ สอนปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้โดยเสมอกัน ท่านจึงเป็นที่เคารพและศรัทธาต่อผู้คนเป็นจำนวนมากเสมอมา